วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2557

นกอีเสือสีน้ำตาล

นกอีเสือสีน้ำตาล (อังกฤษ: Brown shrike; ชื่อวิทยาศาสตร์: Lanius cristatus) (นกอพยพ)
เป็นนกขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ Laniidae จัดเป็นนกอพยพย้ายถิ่นอาศัยเข้ามาหากินในประเทศไทย พบได้บ่อยในช่วงปลายฤดูร้อนและปลายฤดูฝน ซึ่งนกอีเสื้อสีน้ำตาลมีถิ่นการกระจายพันธุ์กว้างขวาง โดยพบได้ตั้งแต่เอเชียเหนือจรดยุโรป, เอเชียกลาง, เอเชียตะวันออก, เอเชียใต้ และยังพบได้ที่อเมริกาเหนือ จึงมีชนิดย่อยด้วยกันทั้งหมด 4 ชนิด

ลักษณะ    หัวโต คิ้วเป็นเส้นสีน้ำตาลอ่อนออกขาว ปากใหญ่หนา ปลายปากแหลมงุ้มเป็นจะงอยสีน้ำตาลเข้มออกดำ ซึ่งเป็นลักษณะที่โดดเด่นและที่แปลกกว่านกทั่ว ๆ ไปคือ มีฟันแหลมอยู่หนึ่งซี่อยู่ที่ขอบปากบน มีแถบสีดำตั้งแต่โคนปากไปถึงหู ดูคล้ายหน้ากากลำตัวเพรียว ขนคลุมลำตัวสีน้ำตาลแดง ปีกสีน้ำตาลเข้มที่ใต้คาง หน้าอกสีน้ำตาลปนขาว หางยาวสีตาลเข้มกว่าลำตัว ใต้หางบริเวณก้นสีน้ำตาลปนเทาอ่อน ขาสีดำ เล็บแข็งแรงแหลมคม ตัวผู้และตัวเมียสีจะคล้ายกัน ขนาดโตเต็มวัยวัดจากหัวถึงปลายหางยาวประมาณ 20 เซนติเมตร
พฤติกรรม   มีนิสัยหวงถิ่นหากิน มักส่งเสียงดัง "แจ้ก... แซ้ก...แจ้ก...แซ็ก" บินวนไปมาเพื่อไล่นกชนิดอื่น ๆ ที่เข้ามาใกล้เขตหากิน ไม่เว้นแม้แต่นกล่าเหยื่ออย่างเหยี่ยว ปกติชอบหากินตามลำพัง เกาะอยู่ตัวเดียวตามกิ่งไม้, รั้วบ้าน, ทุ่งหญ้า, ท้องนาโล่ง อย่างสงบนิ่งไม่ส่งเสียงหรือเคลื่อนไหว มีเฉพาะเพียงดวงตาที่คอยขยับเขยื้อนจับจ้องมองหาเหยื่อล่าอาหารจำพวก แมลงปีกแข็ง, ตั๊กแตน, กบ, เขียด, จิ้งเหลน, กิ้งก่า, ลูกหนู รวมทั้งลูกนกชนิดอิ่นด้วย เมื่อล่าเหยื่อได้แล้วจะใช้เขี้ยวที่ปากที่แหลมคมฉีกเนื้อของเหยื่อที่จับได้ออกเป็นชิ้น ๆ กิน นอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมที่คล้ายสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอย่างเสือโคร่งหรือเสือดาว ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ คือ หลังจับเหยื่อได้แล้วจะไม่กินจนหมด แต่จะใช้ประโยชน์จากต้นไม้ที่มีหนามหรือแม้กระทั่งลวดหนามเพื่อเสียบเหยื่อให้สามารถฉีกกินได้สะดวก จนกระทั่งอิ่ม ซึ่งพฤติกรรมการล่าเหยื่อนี้ยังใช้เพื่อดึงดูดตัวเมียด้วยเช่นกัน

นกจับแมลงจุกดำ

นกจับแมลงจุกดำ(นกประจำถิ่น)
ชื่ออังกฤษ:  Black-naped Monarch
ชื่อวิทย์:   Hypothymisazu
นกตัวผู้ ขนคลุมลำตัวส่วนใหญ่ และอกส่วนบนสีน้ำเงิน อมฟ้าสดใส มีจุดกลมสีดำบริเวณกลางหัว ค่อนไปใกล้ ท้ายทอย อกมีลายขีดเล็กๆสีดำพาดจากใต้คอไปเกือบถึงหลังคอ มีขีดดำเล็กๆลากผ่านตา ปากสีเทาอมฟ้า โคนปาก มีหนวดแข็งสีดำ หนา เห็นได้ชัดเจน ท้องด้านล่าง จนถึง ขนคลุม ใต้โคนหางสีขาว ตะโพก และ ขนคลุมใต้โคนหาง สีเทา มีแต้มสีฟ้า เล็กน้อย
นกตัวเมีย และนกวัยอ่อน บริเวณหัว คอ และ ใบหน้าด้านข้างสีฟ้าคล้ำกว่านกตัวผู้ ไม่มีจุกสีดำที่กลางหัว ขนบริเวณตั้งแต่ท้ายทอยลงไปถึงโคนหางน้ำตาลปนเทา ไม่มีขีดสีดำที่ใต้คอ ตั้งแต่ใต้คอลงมาเป็นสีฟ้าอมเทา และ ค่อยๆจางลงจนเกือบขาวบริเวณตะโพก และ ขนคลุมใต้โคนหาง

จับแมลงจุกดำเป็นนกที่สีสวย น่ารัก และหาพบได้ง่ายๆ ตั้งแต่ตามสวนธารณะในเมือง สวนผลไม้ ป่าชายเลน (ในช่วงฤดูหนาว ซึ่งมีนกอพยพนอกฤดูผสมพันธุ์มาเพิ่มเติม) ป่าโปร่ง ป่าดงดิบ จากที่ราบจนถึงความสูงระดับ 1520 เมตร

นกอีกา

อีกา (อังกฤษ: Jungle crow, Large-billed crow)(นกประจำถิ่น)
 เป็นนกกาที่มีการกระจายพันธุ์เป็นวงกว้างในเอเชีย ปรับตัวเก่ง กินอาหารได้หลากหลาย ทำให้ขยายไปยังพื้นที่ใหม่ได้ง่าย บางครั้งมันถูกมองว่าเป็นนกที่ก่อความรำคาญ

ลักษณะ
ขนาดโดยทั่วไปยาวประมาณ 46-59 เซนติเมตร ซึ่งแตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น เกาะคูริล และคาบสมุทรซาฮาลินจะมีขนาดค่อนข้างใหญ่กว่านกกากินซาก ในขณะที่ชนิดย่อยจากอินเดียในทางตะวันตกเฉียงใต้ มีขนาดเล็กกว่านกกากินซาก แต่ทุกชนิดย่อยมีปากค่อนข้างยาว หนาและปากบนโค้งลง ให้ดูเหมือนนกเรเวนขนาดใหญ่ มีขนสีเทาเข้ม จากด้านหลังของศีรษะ คอ ไหล่ และ ส่วนล่าง ปีก หาง หน้าและลำคอเป็นดำเงา ชนิดย่อยในอินเดียจะมีสีดำที่สุด
การกระจายพันธุ์และถิ่นอาศัย
มีการกระจายพันธุ์จากชายฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือที่อัฟกานิสถานและทางตะวันออกของอิหร่านในทิศตะวันตก ทิศใต้ถึงอินเดียและลงไปยังคาบสมุทรมาเลเซียในทิศตะวันออกเฉียงใต้

นกเอี้ยงสาริกา

นกเอี้ยงสาริกา(นกประจำถิ่น)


ชื่อท้องถิ่น:           นกเอี้ยงสาริกา
ชื่อสามัญ:             Common Myna
ชื่อวิทยาศาสตร์:   Acridotheres tristis
ชื่อวงศ์:  Sturnidae
ประเภทสัตว์:       สัตว์ปีก
ลักษณะสัตว์:        ปากและขาสีเหลือง หัว คอ และอกช่วงบนสีดำ มีหนังสี่เหลืองสดที่หน้า ขนปกคลุมลำตัวสีน้ำตาลเข้ม ปีกมีแถบขาว โคนหางด้านล่างและปลายหางสีขาว;การแพร่กระจาย:ทุ่งโล่ง พื้นที่เกษตรกรรม และชุมชน จากที่ราบไปจนถึงระดับความสูง 1,500 ม. 
นกเอี้ยงเป็นนกที่ไม่ตื่นกลัวคน จึงมักหากินใกล้ที่อยู่อาศัยของคน ลักษณะของนกเอี้ยงคล้ายกับนกกิ้งโครงคอดำ แต่มีขนาดเล็กกว่าประมาณ ๑ เท่า ขาเรียวเล็ก นิ้วตีนแข็งแรง หัวและคอสีดำ ปากและหนังรอบตาสีเหลือง ลำตัวสีน้ำตาล ขอบปีกและปลายหางสีขาว หน้าอก ท้อง และก้นสีน้ำตาลอ่อน หากินอยู่ตามพื้นดินปะปนกับนกชนิดอื่น ๆ มักเดินสลับวิ่งกระโดด มีความปราดเปรียว ชอบการต่อสู้ กินแมลง หนอน เมล็ดพืช ทำรังในโพรงไม้ ทั้งตัวผู้และตัวเมียจะช่วยกันทำรังโดยคาบเศษไม้ ใบไม้แห้งมาวางรองที่ก้นรัง วางไข่คราวละ ๑-๓ ฟอง และจะผลัดกันกกไข่นานประมาณ ๑๔ วัน จึงฟักออกเป็นตัว

นกกิ้งโครงคอดำ

นกกิ้งโครงคอดำ(นกประจำถิ่น)
ชื่ออังกฤษ:  Black-collared Starling, Black-collared Myna
ชื่อวิทยาศาสตร์:  Gracupica nigricollis (Paykull, 1807)
วงศ์ (Family):  Sturnidae (วงศ์นกเอี้ยงและนกกิ้งโครง)
อันดับ (Order):  Passeriformes (อันดับนกเกาะคอน)
จวนเจียนจะถึงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่เต็มทีแล้ว วันหยุดยาวที่จะถึงนี้ผู้อ่านส่วนใหญ่คงจะมีทริปเดินทางไปยังแหล่งดูนกที่อยู่ห่างไกล ใช้เวลาเดินทางนาน ที่ที่หากเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ตามปกติจะดูนกได้ไม่จุใจ และปลีกตัวห่างไกลนักท่องเที่ยวทั่วไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะยิ่งคนพลุกพล่านเท่าไหร่ยิ่งมีโอกาสเจอนกน้อยลง บางท่านที่อยู่ในกรุงเทพและปริมณฑลอาจจะตัดสินใจอยู่บ้านแทน เพราะจะหาช่วงเวลาที่เมืองกรุงเงียบเหงาเท่านี้ไม่มีอีกแล้ว ถือเป็นโอกาสดีเช่นกันที่จะเดินดูนกตามสวนสาธารณะในเมือง

สัปดาห์นี้เลยขอแนะนำนกเมืองที่มีเสน่ห์มากชนิดหนึ่ง เป็นนกตัวเขื่องในกลุ่มนกเอี้ยง-นกกิ้งโครง ชื่อว่านกกิ้งโครงคอดำ (Black-collared Starling) ที่ดูจะหาตัวได้ง่ายตามสวนสาธารณะใจกลางเมือง มากกว่าตามชานเมืองรอบๆกรุงเทพเสียอีก อาจเพราะนกกิ้งโครงคอดำชอบหากินบนพื้นสนามหญ้ากว้างๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีต้นไม้ใหญ่ ซึ่งสวนสาธารณะดูจะตอบโจทย์นี้ได้ ไม่ค่อยพบตามที่ราบลุ่มหรือแหล่งน้ำแบบที่มักพบนกเอี้ยงด่าง (Asian Pied Starling) และนกเอี้ยงหงอน (White-vented Myna)

นกปรอดหัวโขน

นกปรอดหัวโขน หรือ นกปรอดหัวจุก หรือที่นิยมเรียกกันว่า นกกรงหัวจุก(นกประจำถิ่น)

อังกฤษ: Red-whiskered bulbul;
 พายัพ: นกปิ๊ดจะลิว
ชื่อวิทยาศาสตร์:Pycnonotus jocosus
เป็นนกที่อยู่ในวงศ์นกปรอด (Pycnonotidae) ซึ่งอยู่ด้วยกันทั้งหมด 109 ชนิด สำหรับในประเทศไทยพบได้ 36 ชนิดนกปรอดหัวโขนเป็นนกขนาดเล็ก ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 20 เซนติเมตร ที่มีสีสันสวยงามและเสียงร้องไพเราะ ที่แก้มและคอจนถึงหน้าอกจะมีสีขาวและมีสีแดงเป็นเส้นอยู่ข้างหูลงมาถึงหน้าอกเหมือนเป็นเส้นแบ่งขนสีขาวกับสีดำที่มีอยู่ทั่วทั้งตัวขนส่วนหัวจะร่วมกัน เป็นเหมือนหน่อตั้งอยู่บนหัวสูงขึ้นไปเหมือนหัวโขน อันเป็นที่มาของชื่อ ใต้ท้องมีขนสีขาว พบกระจายอยู่ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียใต้, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงเอเชียตะวันออกพบได้ในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย ตั้งแต่ยอดเขาสูง ป่าที่ราบต่ำ จนถึงทุ่งหญ้า ชายป่า และเขตที่ใกล้กับชุมนุมมนุษย์นกปรอดหัวโขน เป็นที่นิยมในแง่ที่เป็นสัตว์เลี้ยง ที่เลี้ยงเพื่อฟังเสียงร้องอันไพเราะ และเพื่อการแข่งขันเสียงร้อง เช่นเดียวกับนกเขาชวา (Geopelia striata) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย โดยเฉพาะสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ติดกับมาเลเซีย คือ นราธิวาส, ปัตตานี, ยะลา ซึ่งการเลี้ยงนกชนิดนี้เป็นเหมือนหนึ่งในวัฒนธรรมและวิถีการดำรงชีวิตของผู้คนที่นั่น นกปรอดหัวโขนหากได้รับการเลี้ยงดูอย่างถูกต้อง สามารถมีอายุยืนนานได้ถึง 11 ปี และนกตัวใดที่มีเสียงร้องไพเราะและได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวดแข่งขัน อาจมีสนนราคาถึงหลักล้านบาทปัจจุบัน นกปรอดหัวโขน เป็นสัตว์ที่มีรายชื่ออยู่ในพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง แต่มีความพยายามของผู้ที่นิยมเลี้ยงผลักดันให้เป็นสัตว์ที่เลี้ยงได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งประเด็นนี้มีทั้งผู้ที่เห็นและคัดค้านเนื่องจากจนถึงปัจจุบันนกปรอดหัวโขนที่เลี้ยงไว้เกือบทั้งหมดมาจากการจับจากธรรมชาติทั้งสิ้น ไม่ได้มาจากการเพาะเลี้ยงอย่างที่อ้างกัน ซึ่งการจับนกจากธรรมชาติเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นกชนิดนี้สูญพันธ์ไปจากธรรมชาติในภาคใต้ของประเทศไทย

นกปรอดสวน

ชื่อไทย : นกปรอดสวน(นกประจำถิ่น)
ชื่อสามัญ : Streak-eared Bulbul
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Pycnonotus blanfordi (Jerdon, 1862)
ลักษณะ : บริเวณหูมีลายขีดสีเทา ปีกสีน้ำตาล อกสีเทา ขนคลุมโคนขนหางด้านล่างสีเหลืองอมน้ำตาล ตัวผู้ มีตาสีเทา ส่วนตัวเมีย มีตาสีน้ำตาลออกเทา
สถานภาพ : เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง
ถิ่นอาศัย : อาศัยในป่าเบญจพรรณ ป่ารุ่น ป่าละเมาะ และพื้นที่การเกษตร

การแพร่กระจาย : นกประจำถิ่น พบทุกภาคของไทย

นกกางเขนบ้าน

นกกางเขน หรือ นกกางเขนบ้าน(นกประจำถิ่น)

 อังกฤษ: Oriental magpie robin, 
ชื่อวิทยาศาสตร์: Copsychus saularis
 เป็นนกชนิดหนึ่งที่กินแมลง มีขนาดไม่ใหญ่นัก ยาวประมาณ 25 เซนติเมตร ส่วนบนลำตัวสีดำ ส่วนล่างตั้งแต่หน้าอกลงไปจะเป็นสีขาวหม่น ใต้หางมีสีขาว ปีกมีลายพาดสีขาว ตัวเมียสีจะชัดกว่าตัวผู้ ส่วนที่เป็นสีดำในตัวผู้ ในตัวเมียจะเป็นสีเทาแก่ มันมักจะอยู่เป็นกลุ่มเล็ก ๆ หากินแมลงตามพุ่มไม้ บางครั้งก็โฉบจับแมลงกลางอากาศ หางของมันมักกระดกขึ้นลง ร้องเสียงสูงบ้าง ต่ำบ้าง ฟังไพเราะ ทำรังตามโพรงไม้ที่ไม่สูงนัก มันจะวางไข่ครั้งละ 3-6 ฟองและผลัดกันกกไข่ มันจะฟักไข่นานประมาณ 12 วัน อายุ 15 วัน แล้วจะเริ่มหัดบิน พบทั่วไปในทุกภาคแม้ในเมืองใหญ่ ๆ

นกปรอดหัวสีเขม่า

นกปรอดหัวสีเขม่า (Sooty headed Bulbul) (นกประจำถิ่น)



                               
ชื่อ :    นกปรอดหัวสีเขม่า (Sooty headed Bulbul)
ชื่อวิทยาศาสตร์ (Scientific name) :   Pycnonotus aurigaster (Vieillot) 1818
ขนาด :   นกขนาดเล็ก (20 ซม.)


ลักษณะเฉพาะ :   บริเวณหัวมีสีดำและมีหงอนขนเล็กน้อยไม่ยาวมากนัก ด้านบนลำตัวสีน้ำตาล มีลายพาดสีออกขาว บริเวณขนคลุมโคนขนหางด้านบน ด้านล่างลำตัวและปลายขนหางสีขาวแกมเทา ขนบริเวณหูสีขาวแกมเทา บางตัวมีขนคลุมโคนขาหางด้านล่างสีแดง และบางตัวเป็นสีเหลือ พบตามป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ป่ารุ่น ทุ่งโล่ง สวนผลไม้ และที่กสิกรรมต่างๆ อาศัยหากินตามต้นไม้และพื้นดิน
การผสมพันธุ์ :    ผสมพันธุ์ในช่วงเดือนมีนาคม-มิถุนายน ทำรังเป็นรูปถ้วยด้วยกิ่งไม้ โดยใช้กิ่งไม้เล็กๆ และใบไม่ขัดสานเข้าด้วยกันเป็นรูปถ้วย ไข่สีขาวแกมชมพู มีลวดลายต่างๆ สีน้ำตาลแกมม่วงในแต่ละรังมีไข่
2 – 3 ฟอง ใช้ระยะเวลาฟัก 14 วัน
อาหาร : อาหารได้แก่ เมล็ดผลไม้ ผลไม้ แมลงและตัวหนอนต่างๆ
สถานภาพ
:   นกประจำถิ่น และสัตว์ป่าคุ้มครอง

จุดสำรวจที่ 1 ป่าปกปักฯ ต้นสะเดา

จุดสำรวจที่ 1 ป่าปกปักฯ

ต้นสะเดา
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์

                               อาณาจักร:พืช (Plantae)

                               หมวด: Magnoliophyta

                               อันดับ: Sapindales

                               วงศ์:      Meliaceae

                               สกุล:       Azadirachta

                               สปีชีส์: A. indica
                               ชื่อทวินาม

                                Azadirachta indica
                                A.Juss.
สะเดา (อังกฤษ: Neem plant)เป็นไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย เจริญได้ดีในที่แล้ง ใช้ประโยชน์ได้มากมายทั้งเป็นอาหารและสร้างที่อยู่อาศัย ในใบและเมล็ดสะเดามีสารอาซาดิเร-ซติน (Azadirachtin) ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารฆ่าแมลง ในเมล็ดมีน้ำมันที่เรียกว่า margosa oil ใช้เป็นสีย้อมผ้าและยาฆ่าพยาธิในสัตว์เลี้ยง ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด แต่ต้องรีบนำไปเพาะทันทีหลังจากเมล็ดร่วง มิฉะนั้น จะสูญเสียความสามารถในการงอกไปอย่างรวดเร็ว